โรคเบาหวาน รู้จักเพื่อป้องกัน รู้ทันควบคุมได้

โรคเบาหวาน (Diabetes) คือโรคที่เกิดจากความผิดปกติของการทำงานของฮอร์โมนที่ชื่อว่า อินสุลิน (Insulin) ซึ่งโดยปกติแล้วร่างกายของคนเราจำเป็นต้องมีอินสุลิน เพื่อนำน้ำตาลในกระแสเลือดไปเลี้ยงอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกาย โดยเฉพาะสมองและกล้ามเนื้อ ในภาวะที่อินสุลินมีความผิดปกติ ไม่ว่าจะเป็นการลดลงของปริมาณอินสุลินในร่างกาย หรือการที่อวัยวะต่าง ๆ ของร่างกายตอบสนองต่ออินสุลินลดลง (หรือที่เรียกว่า ภาวะดื้ออินสุลิน) จะทำให้ร่างกายไม่สามารถนำน้ำตาลที่อยู่ในกระแสเลือดไปใช้ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ทำให้มีปริมาณน้ำตาลคงเหลือในกระแสเลือดมากกว่าปกติ

สาเหตุของโรคเบาหวาน

เกิดจากการที่ระดับน้ำตาลในกระแสเลือดสูงมากขึ้นถึงระดับหนึ่ง จนทำให้ไตดูดกลับน้ำตาลได้ไม่หมด ซึ่งปกติไตจะมีหน้าที่ดูดกลับน้ำตาลจากสารที่ถูกกรองจากหน่วยไตไปใช้ ส่งผลให้มีน้ำตาลรั่วออกมากับปัสสาวะ จึงเป็นที่มาของคำว่า “โรคเบาหวาน” หากเราปล่อยให้เกิดภาวะเช่นนี้ไปนาน ๆ โดยไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกวิธี จะทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรงตามมาในที่สุด

เบาหวาน…สังเกตสัญญาณเตือน

  • น้ำหนักตัวลดลงโดยไม่ทราบสาเหตุ
  • ปัสสาวะบ่อยผิดปกติ
  • หิวบ่อย
  • อ่อนเพลีย ไม่มีแรง
  • เป็นแผลหายช้า
  • มีอาการชาบริเวณปลายมือ ปลายเท้า

การวินิจฉัยโรคเบาหวาน สามารถทำได้ 4 วิธี

  • การตรวจน้ำตาลหลังอดอาหารอย่างน้อย 8 ชั่วโมง (FPG) หากมีค่าระดับน้ำตาลมากกว่าหรือเท่ากับ 126 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร แสดงว่าเป็นโรคเบาหวาน
  • การทดสอบความทนต่อน้ำตาลกลูโคส (Oral Glucose Tolerance Test: OGTT) จะทำในผู้ที่อดอาหารมาแล้วอย่างน้อย 8 ชั่วโมง โดยแพทย์จะทำการเจาะเลือดเข็มที่ 1 ก่อนการดื่มสารละลายกลูโคส และทำการเจาะเลือดซ้ำอีกครั้งหลังการดื่มสารละลาย หากพบว่ามีค่ามากกว่าหรือเท่ากับ 200 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตรแสดงว่าบุคคลนั้นเป็นโรคเบาหวาน
  • การตรวจน้ำตาลเวลาใดเวลาหนึ่ง (RPG) แล้วมีค่าระดับน้ำตาลในเลือดมากกว่าหรือเท่ากับ 200 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร ร่วมกับมีอาการของเบาหวาน เช่น ปัสสาวะบ่อย กระหายน้ำบ่อย ตามัว อ่อนเพลีย น้ำหนักลด แสดงว่าเป็นโรคเบาหวาน
  • การตรวจระดับน้ำตาลในเลือดสะสม (HbA1c) การตรวจนี้ไม่จำเป็นต้องอดอาหาร แต่แพทย์จำเป็นต้องพิจารณาปัจจัยอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น อายุ หรือการเป็นโรคโลหิตจาง โดยหากค่าที่ตรวจได้มากกว่าหรือเท่ากับ 5% แสดงว่าเป็นโรคเบาหวาน

โรคเบาหวานแบ่งออกเป็น 4 ชนิด

  • เบาหวานชนิดที่ 1 เกิดจากการขาดอินซูลิน เนื่องจากตับอ่อนไม่สามารถหลั่งอินซูลินได้เลย (อินซูลินเป็นฮอร์โมนที่สร้างจากตับอ่อน ทำหน้าที่ช่วยนำน้ำตาลเข้าสู่เซลล์ของร่างกาย เพื่อเผาผลาญเป็นพลังงานในการดำรงชีวิต) เบาหวานชนิดนี้มักพบในเด็กและผู้ที่มีอายุน้อยกว่า 40 ปี
  • เบาหวานชนิดที่ 2 พบมากในคนส่วนใหญ่ เกิดจากการที่เซลล์ของร่างกายตอบสนองต่ออินซูลินได้ไม่ดีหรือที่เรียกว่าภาวะดื้อต่ออินซูลิน ทำให้ร่างกายเหมือนขาดอินซูลินไประดับหนึ่ง ร่างกายต้องทดแทนโดยการสร้างอินซูลินออกมามากขึ้น จนตับอ่อนทำงานมากขึ้นจนทำงานไม่ไหวถ้าไม่ช่วยแก้ไข นอกจากนี้ตับอ่อนของผู้ป่วยเบาหวานชนิดนี้ยังสร้างอินซูลินได้ไม่มากเท่าคนปกติด้วย จึงมีระดับอินซูลินที่ไม่พอเพียงแก่ความต้องการ สาเหตุของภาวะดื้ออินซูลิน ได้แก่ พันธุกรรม ความอ้วน และการไม่ออกกำลังกาย ดังนั้น หากมีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคเบาหวาน ร่วมกับมีพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ไม่ดีต่อสุขภาพ ก็จะมีโอกาสเป็นโรคเบาหวานได้มากขึ้น
  • เบาหวานชนิดที่ 3 เป็นเบาหวานชนิดที่มีสาเหตุชัดเจน เช่น โรคตับอ่อนอักเสบ ตับอ่อนถูกตัด โรคที่มีเหล็กสะสมมากเกินไปในตับจนทำให้ตับเสียหาย การรับประทานยาบางชนิด เช่น สเตียรอยด์ การได้รับสารเคมี ความผิดปกติของฮอร์โมนจากต่อมหมวกไต
  • เบาหวานชนิดที่ 4 เป็นเบาหวานที่เกิดขึ้นขณะตั้งครรภ์ มักเกิดในผู้ที่ไม่มีประวัติเป็นเบาหวานมาก่อนตั้งครรภ์ เมื่อคลอดแล้วเบาหวานก็จะหายไป แต่คนกลุ่มนี้มีความเสี่ยงที่จะเกิดเป็นเบาหวานได้อีกในอนาคต

การป้องกันโรคเบาหวาน

เราสามารถเริ่มดูแลสุขภาพของตัวเองได้ตั้งแต่วันนี้โดยการปฏิบัติตามวิธีการเหล่านี้คือ

  • รับประทานอาหารให้ครบ 3 มื้อ หลีกเลี่ยงอาหารรสหวาน มัน เค็มจัด เพิ่มการบริโภคผักผลไม้
  • ควรออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และเพียงพอ 150 นาทีต่อสัปดาห์
  • ลดการสูบบุหรี่ และลดการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
  • ทำจิตใจให้แจ่มใส และพักผ่อนให้เพียงพอ
  • การเลือกรับประทานสมุนไพรในการดูแลสุขภาพ เช่น ขิง พุทราจีน และเห็ดหูหนูดำ
Menu